เรื่องของฤดูร้อนปีนี้น (ที่ริมสระน้ำ) บทที่๒
เรื่องของฤดูร้อนปีนั้น (ที่ริมสระน้ำ)
บทที่ ๒
ในบ้านมืดและมีกลิ่นอับๆ เปรี้ยวๆ ไม่ใช่กลิ่นเหม็น แต่เหมือนกลิ่นน้ำยาขัดเครื่องเรือนและเครื่องโลหะที่ลอยอบอวลอยู่ในบ้านเก่าที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวกมากกว่า ใช่ว่ามีอะไรบกพร่องกับแบบบ้าน เพราะบ้านนั้นออกแบบโดยคุณปู่ผู้เป็นสถาปนิคมีชื่อเสียงในอดีต แต่เป็นเพราะหน้าต่างทุกบานในห้องเปิดแง้มอยู่เพียงครึ่งบาน ไม่พอให้อากาศถ่ายเท
คุณย่าอยู่ที่เรือนครัวซึ่งเป็นเรือนไม้เล็กๆ ทอดออกไปจากเรือนใหญ่ ท่านกำลังสอนให้เด็กรับใช้ทำขนมสาคูใส้หมู
แม่ทำท่าเกรงใจที่เข้ามาขัดจังหวะ และยกมือไหว้อย่างนอบน้อม จอมก็ไหว้ตามแต่หลบอยู่ข้างหลังแม่ คุณย่ารับไหว้ทั้งคู่อย่างมีมารยาท
คุณย่ามีท่าทางสำรวมไม่แสดงอารมณ์ ดูเหมือนตุ๊กตามากกว่าคนจริงๆ ผมสีเทามัดเป็นมวยที่ท้ายทอย สวมแว่นตากรอบเงินบางรูปครึ่งวงกลมที่มักจะตั้งอยู่ห่างจากตาลงไปตรงกลางระหว่างดั่งกับปลายจมูก สวมเสื้อลูกไม้สีหม่นๆ และผ้าซิ่นลายไทยคาดเข็มขัดนาค
"ฝากด้วยนะคะคุณแม่ และช่วยกรุณาสั่งสอนว่ากล่าวตักเตือนได้เลยนะคะ" แม่พูดขรึมๆ เป็นงานเป็นการ ก่อนหันมาที่ลูกสาวแล้วก้มลงพูดว่า "เป็นเด็กดีนะจอม"
จอมยังไม่ทันได้พยักหน้าหรือพูดอะไรแม่ก็เดินผ่านเธอไปจากเรือนครัว เด็กหญิงหันตามแต่คุณย่าเรียกไว้ก่อน
"หลานจอมทานข้าวมาหรือยัง" น้ำเสียงฟังดูอบอุ่นมีเมตตา
เด็กหญิงส่ายหน้า
"ถ้าอย่างนั้นก็ไปนั่งรอที่โต๊ะทานข้าวนะ แล้วย่าจะให้กำไลหาอะไรให้ทาน" คุณย่าว่าแล้วหันไปที่เด็กรับใช้
จอมทำตามอย่างเชื่อฟัง เธอรีบเดินออกไปจากเรือนครัว เข้าไปยังห้องทานข้าวที่มีตู้โบราญใบใหญ่ตั้งอยู่ ฝีเท้าหนักๆ ของเธอทำให้ตู้สั่น และเครื่องเบญจรงค์เคลือบทองในตู้กระทบกันส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งจนเธอเกรงว่ามันจะแตกเปรี๋ยะไปทั้งตู้ เป็นเหตุให้เธอต้องลดฝีเท้าลงกลายเป็นย่องซึ่งดูประหลาดชอบกล แต่ถึงแม้จะย่อง ตู้โชว์ก็ยังสั่นอยู่นั่นเอง เพียงแต่ไม่มากเท่าเวลาที่เธอเดินตามปกติ
โต๊ะกินข้าวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตัวใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง จอมไม่แน่ใจว่าควรจะนั่งที่หัวโต๊ะหรือตรงไหนกันแน่ ในที่สุดเธอก็เลือกนั่งตรงกลาง คือเก้าอี้ตัวที่สามไม่ว่าจะนับจากทางซ้ายหรือทางขวา แล้ววางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ข้างๆ
นอกจากนาฬิกาโบราญตั้งพื้นเดินเสียงดังต่อก ต่อก ต่อก กับเสียงวิทยุดังแว่วๆ มาจากที่ไหนสักที่ จอมรู้สึกว่าห้องนั้นเงียบอย่างน่าใจหาย
เธอกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง บนผนังต่ำลงมาจากภาพเขียนขนาดใหญ่ของในหลวงและพระราชินี เป็นรูปถ่ายคุณปู่ที่เสียชีวิตไปนานแล้วก่อนจอมจะเกิดเสียอีก ท่านยืมสวมชุดราชปะแตนสีขาวกับผ้าม่วง ตาจ้องไปเบื่องหน้า จอมคิดในใจว่าคนสมัยก่อนนั้นไม่ค่อยยิ้มเวลาถ่ายรูป แต่คุณปู่ดูเหมือนยิ้มหน่อยๆ หน้าแป้นๆ ดูใจดี
กำไลเดินเนิบนาบเข้ามาพร้อมถาดใส่ชามข้าวต้มปลากับแก้วน้ำ จอมขยับตัววางหลังให้ตรงอย่างที่แม่เคยสอนไว้
กำไลเป็นเด็กสาวจากจังหวัดน่านที่มาอยู่กับคุณย่าตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ผมยาว หน้าตาสะสวย ผิวขาวเนียนเหมือนงาช้าง และท่าทางสำรวม กิริยามารยาทเป็นกุลสตรีมากกว่าจอมไม่รู้เท่าไหร่ ใครเห็นก็ชม ถ้าบอกว่ากำไลเป็นหลานแท้ๆ อีกคนหนึ่งของคุณย่าทุกคนก็ต้องเชื่อ
"ข้าวต้มปลาค่ะ" กำไลรายงานก่อนวางชามข้าวต้มลงบนโต๊ะตรงหน้าจอม ตามด้วยแก้วน้ำ
จอมรู้ว่าเธอควรขอบคุณอย่างที่แม่พูดและสอนจอมเสมอ แต่เธออายเกินกว่าจะพูดออกไป ได้แต่หวังว่ากำไลจะเข้าใจว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะทำตัวไม่สุภาพ
"แล้วนี่เครื่องปรุงค่ะ" เธอยกพวงเครื่องปรุงมาวางให้บนโต๊ะก่อนเดินกลับออกไปยังเรือนครัว
จอมโล่งอกเมื่อได้อยู่ตามลำพังอีกครั้ง เพราะเธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวดำๆ หน้าตามอมแมมจึงรู้สึกเขินอาย อีกทั้งเจ้าฟันบนสองซี่หน้าที่หลุดไปเมื่อสัปดาห์ก่อนทำให้เธอไม่อยากเปิดปากพูดกับคนที่เธอไม่สนิมสนมด้วย
ข้าวต้มปลาอร่อยจริงๆ อร่อยอย่างที่เด็กหญิงกับพี่ชายจะต้องพูดว่า "อร่อยสะบัดช่อ" หรือ "เด็ดสะระตี่" ที่เธอคาดว่าคุณย่าคงจะต้องทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกแน่ๆ ถ้าได้ยินจอมพูดชมอาหารฝีมือของท่านด้วยวลีแผลงๆ ที่เด็กๆ ชอบใช้กัรน
อย่างไรก็ตามจอมไม่เคยเห็นเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องเล่นต่างหากที่มาก่อน เธอไม่เคยให้ความสนใจกับการกินข้าวสามเวลาเหมือนผู้ใหญ่ เธอกินก็ต่อเมื่อหิวเท่านั้น แล้วก็ไม่รู้สึกหิวบ่อยๆ เช้านี้เธอก็ไม่หิว ว่ากันตามจริงเธอไม่เคยอยากกินอะไรตอนเช้าๆ แถมยังรู้สึกขยักขย่อนยังไงชอบกลเวลาเห็นพวกผู้ใหญ่รีบกินข้าวเช้า ตักข้าวคำโตๆ เข้าปาก ดังนั้นแม้ว่าข้่่าวต้มปลาฝีมือคุณย่าจะอร่อยแค่ไหน จอมก็กินไปได้เพียงนิดเดียว เด็กหญิงวางช้อนกระเบื้องคว่ำหน้าลงไปกับขอบชามอย่างที่แม่สอนแล้วผลักชามข้าวออกไป ก่อนจะดื่มน้ำเหยาน้ำยาอุทัยรสเฝื่อนๆ จนหมดแก้ว
ตอนนี้เจ้าเสียงนาฬิกาโบราณส่งเสียงค่อกแค่กคล้ายคนกำลังขากเสลดแล้วก็ตีบอกเวลาเสียงดังกังวาล "ต๊อง...ต๊อง...ต๊อง...ต๊อง..." แปดครั้ง พร้อมกับที่เสียงวิทยุเริ่มบรรเลงเพลงชาติไทย เด็กหญิงเริ่มรู้สึกอึดอัด เธอไม่เคยนั่งเฉยๆ นานเท่านี้มาก่อน เธอเริ่มขยุกขยิกกระสับกระส่ายอยู่บนเก้าอี้ แล้วยกขาขึ้นมานั้งขัดสมาธิวางข้อศอกลงบนโต๊ะใช้มือเท้าคาง หวังว่าจะได้ออกไปวิ่งไล่จับผีเสื้อรอบสระน้ำ เธอมองไม่เห็นสระน้ำจากในบ้าน แต่เธอเห็นภาพมันในสมองของเธออย่างชัดเจน
สระน้ำนั้นเต็มไปด้วยสีสันและชีวิตชีวาอยู่เสมอ เธอนึกเห็นภาพสะท้อนของก้อนเมฆเคลื่อนตัวผ่านบนผิวน้ำที่ดอกบัวหลากสีกำลังบานรับแสงอาทิตย์ ต้นกกริมสระสั่นไหวเมื่อต้องสายลมอ่อนๆ นกกระจิบส่งเสียงร้องแล้วโผไปเกาะบนรั้วไม้ที่ต้นอัญชัน ดอกสีัน้ำเงินขึ้นคลุมไปทั่ว แมลงปอชนิดต่างๆ เริ่มบิดฉวัดเฉวียนสำราญกับยามเช้าที่แดดยังไม่แรงเกินไป เธอได้ยินเสียงตัวเองถอนหายใจอย่างไม่รู้ตัวออกมาพรืดใหญ่ พอดีกับที่กำไลเดินเข้ามาเงียบๆ เพื่อเก็บถ้วยข้าวต้ม ทำเอาจอมสะดุ้ง รีบนั่งตัวตรงขาห้อยชิดกันอย่างเรียบร้อย
เด็กหญิงไม่เข้าใจเลยว่ากำไลเดินเข้ามาโดยไม่ทำให้เครื่องเบญจรงค์ในตู้สั่นไหวเลยแม้แต่น้อยได้อย่างไร
"คุณจอมทานนิดเดียวเอง ไม่อร่อยหรือคะ หรือว่าไม่หิว" กำไลถามพลางเก็บชามวางลงบนถาดที่ถือมาด้วย
จอมหลบหน้าแล้วพึมพัมว่า "ไม่หิว"
"ไม่เป็นไรค่ะ ไว้ทานใหม่มื้อกลางวัน คุณทานทำขนมสาคูไส้หมูกับไส้กรอกประแนมไว้"
จอมไม่พูดอะไร เอาแต่นั่งตัวตรงจนกระทั่งกำไลเดินออกไป
ทันทีที่เธองอหลังอย่างผ่อนคลาย คุณย่าก็เดินเข้ามาเงียบๆ พอๆ กับกำไล เป็นอันให้จอมต้องยืดตัวตรงอีก
"หลานจอมมานั่งพักกับย่า" คุณย่าว่า "ย่าเกรงว่าที่บ้านนี้ไม่มีของเล่นให้หลานเล่นหรอกจ๊ะ เห็นแม่เขาบอกว่าหลานมีของเล่นมาด้วย ก็เห็นจะต้องเล่นกับของเล่นของตัวเองไป ตามย่ามาทางนี้เถอะ"
จอมรีบคว้ากระเป๋าแล้วลุกขึ้นเดินโครมๆ ตามคุณย่า เครื่องเบญจรงค์ในตู้ส่งเสียงกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง และตัวตู้ก็เหมือนจะล้มโครมลงมาด้วย ทำให้คุณย่าหันมามองด้วยความฉงนและจอมหยุดเดินโดยฉับพลัน เธอลืมไปว่าต้องย่องไปบนพื้นกระดานที่ขัดอย่างดีจนลื่นเป็นมันนั้น
ห้องส่วนตัวของคุณย่าอยู่ที่มุมด้านซ้ายสุดของบ้าน ต้องเดินผ่านทางเดินมืดๆ ที่ห้องพระอยู่ทางขวา ห้องของคุณย่าอยู่เลยเข้าไป เป็นห้องขนาดใหญ่ที่เป็นทั้งห้องนอนและห้องพักผ่อน มีห้องน้ำในตัว ไกลออกไปหน่อยมีฉากพับที่มีภาพปักเป็นรูปนกยูงหางยาวกั้นเตียงไม้ปูด้วยผ้าแพรสีฟ้าสดที่ไม่มีรอยยับย่นดูแน่นตึงจนน่าขึ้นไปกระโดดเล่น โต๊ะมุกเตี้ยที่หัวเตียงมีโคมไฟแก้วรูปร่างเหมือนดอกทิวลิปห้อยห้วลงวางอยู่
ที่มุมใกล้ประตูทางด้านขวามีเสื่อลวดลายสวยงามปูบนพื้นพร้อมหมอนอิงและหมอนขวานหลายใบ เก้าอี้มุกขาสิงห์สองตัววางอยู่ที่มุมห้องระหว่างตั่งมุกตัวใหญ่ ด้านซ้ายมีฉากพับอีกบานกั้นห้องแต่งตัวของคุณย่า ถ้ดไปเป็นห้องน้ำ
เสียงวิทยุที่จอมได้ยินออกมาจากห้องนี้เอง บนหิ้งวางของข้างประตูที่ถัดลงมาเป็นปฏิธินรูปในหลวง ตัวปฏิธินด้านล่างแสดงให้เห็นว่าเป็นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ เสียงแว่วๆ จากวิทยุเป็นเสียงรายการธรรมะอะไรสักอย่างออกอากาศจากสถานีวิทยุศูนย์หนึ่งบางซื่อ
ห้องนั้นจริงๆ แล้วมีหน้าต่างรอบ แต่มีหน้าต่างด้านซ้ายของห้องเท่านั้นที่เปิดอยู่ มองออกไปเห็นลานซักล้าง ห้องครัวและห้องนอนของกำไล
เด็กหญิงเงอะงะไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรดี เพราะคุณย่าหายเข้าไปหลังฉากพับที่เป็นต้องแต่งตัว เข้าใจว่าคงจะไปใส่น้ำอบหรือผัดหน้าให้สดชื่นขึ้น เมื่อออกมาเธอก็บอกให้จอมนั่งลง แล้วตัวเธอก็เดินไปนั้งที่เก้าอี้มุก เด็กหญิงที่ไม่แน่ใจว่าควรจะนั่งกับพื้นหรือบนเก้าอี้ถัดไปจากคุณย่า แล้วก็ตัดสินในจว่าควรจะนั่งลงบรเสื่อ
"หลานจอมนั่งไม่สวยเลย นั่งพับเพียบสิลูก เป็นผู้หญิงต้องนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิน่ะเป็นท่านั่งของเด็กผู้ชายเขา" คุณย่าสอน มองดูหลานสาวอย่างพินิจพิเคราะห์ลอดแว่นตารูปครึ่งวงกลม
จอมรีบยกขา สับเปลี่ยนท่านั่งทันที
"ดีขี้น แต่ว่าอย่าเอาแขนยันตัวไว้อย่างนั้น มันไม่งาม เป็นลูกผู้หญิงต้องนั่งพับเพียบได้โดยไม่ต้องใช้แขนยัน" จอมรีบดึงแขนที่ท้าวพื้นอยู่ขึ้นวางบนตัก เริ่มรู้สึกว่าวันนี้จะต้องเป็นวันที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของเธอ
กำไลเดินเข้ามาพร้อมด้วยถาดใส่กาน้ำชาจีนกับถ้วยน้ำชากระเบื้อง แล้วคุกเข่าลงหน้าตั่งมุกข้างเก้าอี้ที่คุณย่านั่งอยู่ ก่อนจะวางถาดลง
"น้ำมะตูม" คุณย่าอุทานเบาๆ "รินให้คุณจอมถ้วยนึงด้วยนะกำไล" เธอพูดเมื่อกำไลลงมือรินน้ำมะตูมใส่ถ้วยให้เธอ
เมื่อรับถ้วยน้ำมะตูมไมมีหูจับจากกำไลเด็กหญิงก็พบว่ามันร้อนจนมือเกือบพอง ต้องรีบวางถ้วยลงบนพื้นข้างตัว
กำไลเดินออกจากห้องไปอีก แล้วกลับมาพร้อมกับขันเงินใบใหญ่ในมือที่บรรจุดอกมะลิสำหรับร้อยพวงมาลัย
"ดอกมะลิของย่าเอง" คุณย่าว่าอย่างภาคภูมิใจ "หลานจอมก็เคยเห็นต้นมะลิของย่าใช้มั้ยจ๊ะ มันออกดอกงามทุกวัน เพราะย่ารดน้ำมันด้วยน้ำซาวข้าว"
จอมเคยเห็นต้นมะลิพุ่มใหญ่ของคุณย่า ทุกคนชื่นชมมันกันทั้งนั้น เพราะไม่เพียงแต่ออกดอกดกงาม กลิ่นก็ยังหอมอีกด้วย เสียแต่ว่ามันมีหนอนตัวใหญ่สีเขียวๆ คลานกระดึ๊บๆ อยู่ตามกิ่งใบ และจอมเกลียดตัวหนอน
"ร้อยมาลัยเองเนี่ยดีกว่าซื้อเขานะหลานจอม เพราะนอกจากจะสวยกว่าแล้วยังได้บุญด้วย"
แต่จอมคิดว่าถ้าเธอเป็นคนร้อยละก้อ ซื้อเขาคงจะสวยกว่า
กำไลนำเข็มร้อยพวงมาลัยส่งให้คุณย่า ตัวเด็กสาวเองก็จะร้อยมาลัยด้วย
"น่าเสียดายที่หลานจอมยังเด็กเกินกว่าจะร้อยมาลัยด้วยเข็มใหญ้ๆ แหลมๆ นี่ได้" เธอตรวจดูเข็มร้อยมาลัยอย่างพินิจพิจารณา "ย่าไม่อยากให้แม่เขาตำหนิย่าว่าทำให้ลูกเขาบา่ดเจ็บ" แล้วเธอก็มองมาที่จอม "แต่ถ้าหลานจอมอยากจะเรียนล่ะก้อ ย่าก็ยินดีสอนให้ เด็กในวังเขาเรียนร้อยมาลัยกันตั้งแต่ตัวเล็กๆ เท่าหลานจอมนี่แหละ" คุณย่ายิ้มให้จอมอย่างเอ็นดู "เรียนไหมล่ะลูก คืนนี้จะได้มีพวงมาลัยไหว้พ่อเค้า" สีหน้าของเธอหมองลงเมื่อพูดถึงพ่อที่เพิ่งเสียไป
เธอดูเศร้าหมองจนจอมไม่อาจจะปฏิเสธได้ จึงกลั้นใจพูดออกไปว่า "จอมอยากร้อยมาลัย"
ดูเหมือนคุณย่าจะปลื้มใจในความกระตือรือล้นของหลานสาว เธอยิ้มเศร้าๆ แล้วหันไปทางกำไลซึ่งนั่งที่พื้นข้างเก้าอี้ของเธอ
"เอาเข็มให้คุณจอมด้ามนึงกำไล แล้วก็ขันเล็กมาแบ่งดอกมะลิด้วย"
แต่จอมทำได้ไม่ดี มือไม้ของเธอเก้งก้าง แล้วเธอกลัวหนอนสีเขียวๆ ตัวเล็กๆ ที่ปนอยู่กับดอกมะลิที่อยู่ในขัน เธอทั้งอยากตายและอยากร้องไห้ในเวลาเดียวกัน คุณย่าพยายามสอนเธอด้วยความอดทน แต่เมื่อเห็นหลานสาวเกือบทิ่มตาตัวเองด้วยเข็มร้อยมาลัย คุณย่าก็พูดว่า
"บางทีหลานอาจจะยังเด็กไป อายุเท่าไหร่แล้วนะ หกขวบ บางทีอาจจะต้องรอให้โตกว่านี้อีกหน่อยกระมัง"
แล้วเธอจีงบอกให้กำไลเอาเข็มร้อยมาลัยและขันมะลิไปจากจอมเสีย
"ไม่เป็นไรนะหลานจอม เอาไว้โตอีกหน่อยย่าจะสอนงานบ้านงานเรือนให้" คุณย่าเข้าใจผิดคิดว่าจอมผิดหวังที่ไม่ได้ร้อยมาลัย "เมื่อย่าร้อยมาลัยเสร็จแล้วก็จะให้จอมเอาไปไหว้พระให้พ้อพวงนึง"
เด็กหญิงนั่งพับเพียบมองดูสองหญิงต่างวัยนั่งร้อยมาลัยเงียบๆ การนั่งพับเพียบนานๆ ก็ไม่เพียงแต่ทำให้เธอรู้สึกกระสับกระส่าย แต่ยังเมื่อยร้าวจนบรรยายไม่ถูกอีกด้วย เธอย้ายจากนั่งพับขาไปทางซ้าย แล้วก็กลับไปทางขวา กลับกันไปกลับกันมาอยู่อย่างนั้นจนคุณย่าดูเหมือนจะรำคาญ และทันทีที่เธอใช้แขนท้าวพื้นเพื่อพยุงตัว คุณย่าก็จะมองลอดแว่นตาคล้ายกับเป็นการเตือน
"เอาหมอนขวานให้คุณจอมนั่งพิงหน่อยดีไหมคะคุณท่าน" กำไลเสนออย่างเห็นอกเห็นใจ
"เออ..เอาสิ" คุณย่าเห็นด้วยกับความคิดของกำไล "พิงหมอนขวานก็ยังดูดีกว่านั่งเอาแขนท้าวพี้น"
ถึงจะมีหมอนขวานให้พิงเด็กหญิงก็ยังเมื่อยอยู่ดีื แต่เธอไม่กล้าพูดออกไป และพยายามนั่งเฉยไม่เปลี่ยนท่าให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
ในที่สุดทั้งนายและบ่าวต่างก็ง่วนกับการร้อยพวงมาลัยกับฟังรายการวิทยุจนไม่ได้สนใจจอมอีกต่อไป นี่เป็นชีวิตประจำวันของทั้งคู่ ไม่ว่าจอมจะอยู่ที่นี่หรือไม่ หลังจากเสร็จสิ้นจากการทำงานบ้านและทำกับข้าวก็ถึงเวลาทำงานฝีมือไม่ว่าจะเป็นร้อยมาลัย ทำอุบะ ถักลูกไม้ หลังทานข้าวกลางวันก็ถึงเวลางีบของคุณย่า เธอนอนตะแคงบนหมอนขวานฟังกำลังอ่านหนังสือ พัดลมเปิดแผ่วๆ อยู่ที่มุมห้อง
"เราอ่านนิราศพระบาทจบไปเมื่อวานนี้คะคุณ วันนี้จะฟังเรื่องอะไรดีคะ" กำไลถามขณะยืนหน้าตู้กระจกบรรจุหนังสือเกือบทุกเล่มของสุนทรภู่และหนังสือพงศาวดารอื่นๆ รวมไปถึงหนังสือร่วมสมัยที่คุณย่าได้รับเป็นของขวัญจากลูกหลาน เช่นหนังสือของหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช
"อ่านนิราศอิเหนาก็แล้วกันกำไล ไม่ได้อ่านนานแล้ว"
จอมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่ตัวเองกำลังอ่าน เห็นกำไลเปิดประตูตู้หนังสือแล้วหยิบอิเหนาออกมา หนังสือที่จอมนำติดตัวมาด้วยเป็นหนังสือภาพชื่อ "สามเกลอร่องเรือ" มันเป็นเรื่องของสัตว์สามตัวประกอบไปด้วยม้าลาย ลา และยีราฟ ตัดสินใจล่องเรือไปแสวงหาบ้านใหม่ ขณะที่เรืออยู่ในมหาสมุทรกว้างใหญ่นั้นก็มีปลาดาบเกเรมาก่อกวนและใช้จงอยปากที่คมเหมือนดาบเลื่อยท้องเรือให้เป็นรูกลมใหญ่ ทำให้น้ำเข้าเรือจนจม โชคดีที่บรรดาสัตว์ทั้งสามมต่างก็ว่ายน้ำตะเกียกตะกายไปขึ้นฝั้่งยังเกาะร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งกลับกลายเป็นบ้านใหม่ของทั้งสามอาศัยอยู่ต่อไปอย่างมีความสุข ใช่ว่าจอมอ่านหนังสือทุกตัวออก เธอดูภาพประกอบเสียเป็นส่วนใหญ่ืและเข้าใจเรื่องราวโดยไม่ต้องอ่านคำบรรยายเลยด้วยซ้ำ แต่หนังสือเรื่องอิเหนานั้นไม่มีภาพประกอบแม้แต่ภาพเดียว
"นิราศร้างห่างเหเสน่หา
ปางอิเหนาเศร้าสุดถึงบุษบา พระพายพาพัดน้องเที่ยวล่องลอย
ตะลึงเหลียวเปลี่ยวเปล่าให้เหงาหงิม สุชลปริ่มเปี่ยมเหยาะเผาะเผาะผอย
โอ้เย็นค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย น้องจะลอยลมบนไปหนใด"
จอมขมวดคิ้วฟังกำไลอ่านหนังสือด้วยความสนใจปนสนเท่ห์ เพราะตัวเองฟังแล้วไม่เข้าใจสักเท่าไหร่เลย แต่คุณย่าเคลิ้บเคลิ้ม นอนท้าวหมอนขวานใบหน้าดูผาสุข หลับตาราวกับกำลังนอนหลับฝันดี แต่จอมรู้ว่าเธอไม่ได้หลับ เพราะบางครั้งบางคราวเธอก็แก้คำผิดให้กำไลโดยไม่ลืมตา
"พินิจจันทร์วันเพ็ญขึ้นเปล่งแสง กระจ่างแจ้งแจ่มวงทั้งทรงกลด
สี่พี่เลี้ยงเคียงพร้อมประนอมณต"
"น้อมประณต" คุณย่าแก้ และกำไลอ่านทวน
"สี่พี่เลี้ยงเคียงพร้อมน้อมประณต"
เด็กหญิงทึ่งที่คุณย่ารู้ทุกครั้งที่กำไลอ่านผิด แสดงให้เห็นว่าท่านรู้เรื่องอิเหนาทุกตัวอักษร เธอคิดว่าคุณย่าเป็นผู้รอบรู้น่าเคารพย่ำเกรงเหลือเกิน และเมื่อคิดได้อย่างนั้นก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเกร็ง
กำไลดูเหมือนจะสนุกสนานกับการอ่านไม่มีท่าทางเบื่อหน่ายเลยสักนิด จอมจึงอดที่จะฟังเรื่องราวที่ฟังดูคล้องจองเจื้อยแจ้วไปกับเขาอย่างเพลิดเพลินไม่ได้
กว่าจะถึงเวลากลับบ้าน จอมก็ได้เรียนรู้ว่า "อิเหนา" เป็นชื่อพระเอกของเรื่อง "บุษบา" เป็นชื่อของหญิงคนรักของอิเหนาที่ถูกลมพายุพัดหายไป ทำให้อิเหนาต้องออกตามหา นอกจากนั้นเธอก็ยังรู้วิธีการร้อยพวงมาลัย และปักโครเชต์ทำขอบผ้าเช็ดหน้า ซึ่งเธอเองก็คิดว่ามันน่าสนใจ แต่จอมอดคิดถึงแมลงปอที่บินปร๋ออยู่รอบๆ สระน้ำ กอหญ้าเขียวที่มีแมลงเต่าทองสีแดงเป็นมันวับเกาะบนปลายหญ้า เสียงนกร้อง และปุยเมฆก้อนแล้วก้อนเล่าที่ลอยผ่านมาแล้วก็ผ่านไปไม่ได้ อีกทั้งขาทั้งสองข้างของเธอก็แสนจะปวดเมื่อยที่ต้องนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นเป็นเวลานาน เธอรู้ว่าจะทำอย่างนี้ทุกวันไม่ได้แน่
แม่ปลื้มอกปลื้มใจมากที่พบว่าลูกสาวได้เรียนรู้เกี่ยวกับบทกวีนิพนธ์ที่มีชื่อเสียงของไทย นับได้ว่าการส่งให้ไปอยู่กับคุณย่านั้นไม่เสียเปล่าจริงๆ
"คิดดูว่าลมพายุคงจะแรงมากจริงๆ นะแม่ ถึงได้หอบคนทั้งคนหายไปได้ แล้วอิเหนาก็เสียใจจะแย่ที่บุษบาลอยลมหายไป" จอมว่า "จอมอยากรู้ตอนจบ แม่รู้มั้ยว่าตอนจบเป็นยังไง"
"ไม่รู้หรอกลูก อิเหนาเนี่ยมีคนแต่งไว้หลายคน แล้วก็มีหลายตอนด้วย ตอนที่กำไลอ่านน่ะชื่อนิราศอิเหนาที่แต่งโดยสุนทรภู่ เท่าที่แม่รู้นะบุษบาไม่ตายหรอก แค่ลมพัดไปเท่านั้นล่ะ"
"ถ้าอย่างนั้นอิเหนาก็จะได้พบกับบุษบาอีกน่ะสิแม่"
"ก็ใช่น่ะสิ"
แม่ปลื้มหนักขึ้นเมื่อจอมอวดพวงมาลัยที่คุณย่าให้มาไหว้พระ แรกทีเดียวแม่เข้าใจผิดคิดว่าจอมเป็นคนร้อยเอง ก็เลยหน้าหุบไปเมื่อจอมบอกความจริงและอธิบายว่า
"คุณย่าพยายามสอนให้จอมร้อยมาลัย แต่ว่าจอมไม่ได้อยากร้อยหรอก จอมไม่อยากทำอะไรเลยเพราะว่าจอมเมื่อย แล้วพอเอาเข้าจริงๆ จอมก็ทำไม่ได้ ทั้งคุณย่าและกำไลพยายามสอนจอมก็ยังทำไม่ได้ ถ้าหากจอมไม่ต้องนั่งพับเพียบจอมอาจจะทำได้นะแม่ แต่จอมทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเวลานั่งพับเพียบน่ะ มันเมื่อย"
"แล้วคุณย่าไม่ว่าอะไรหรือ"
"คุณย่าแค่บอกว่าไม่อยากให้เข็มจิ้มตาจอม เดี๋ยวจะกลายเป็นยายบอด"
"คุณย่าพูดอย่างนั้นจริงๆน่ะ"
"ไม่ได้พูดว่า "ยายบอด"" จอมแก้
แล้วหน้าของแม่ก็ยิ่งหุบหนักเข้าไปใหญ่เมื่อจอมบอกกับแม่ว่าจอมจะไมกลับไปอยู่กับคุณย่าให้วันรุ่งขึ้น
"ก็ไหนว่าชอบฟังอิเหนา" แม่แย้ง
"ฟังอิเหนาก็ดีอยู่หรอกแม่ แต่ต้องนั่งพับเพียบทั้งวันนี่สิ จอมต้องตายแน่ๆ เลย ขาของจอมชาจนถึงก้นจนเกือบเดินไม่ได้ จอมต้องเป็นง่อยตายแน่ๆ ถ้าต้องไปนั่งพับเพียบอีกวัน"
"แล้วถ้าเธอไม่ไปอยู่กับคุณย่าแล้วจะไปอยู่กับใคร" แม่ถาม
"กับคุณป๋า" จอมรีบตอบ
"ป๋า" เป็นชื่อที่ทุกคนเรียกสามีของคุณป้าสุผู้เป็นพี่สาวคนโตของพ่อ ป๋ามีศักดิ์เป็นคุณลุงของจอม เท่าที่จอมรู้ป๋าลาออกจากราชการมาได้หลายปีแล้ว และทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของบ้าน โดยเฉพาะความเรียบร้อยในสวน ไม่ว่าจะเป็นสวนหน้าบ้านหรือหลังบ้าน เรียกได้ว่าป๋าเป็นทั้งคนสวน คนดูแลบ้าน และเจ้าของบ้านในเวลาเดียวกัน ว่ากันตามจริงแล้วก็คือ ที่ดินที่บ้านของจอม รวมไปถึงบ้านคุณย่า และบ้านของคุณป้าๆ คนอื่นๆ ล้วนแล้วแต่ปลูกอยู้บนที่ดินที่ป๋าเป็นเจ้าของ เพราะคุณป๋ากับคุณป้าสุเป็นผู้ซื้อที่ดินผืนนี้แล้วใจดีอนุญาติให้น้องๆ มาปลูกบ้านอยู่ด้วยกันได้ จอมสนิทกับป๋าเพราะบ้านอยู่ติดกันและป๋าเองก็ช้วยเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เกิด
แม่ถอนหายใจยาว "รบกวนคุณป๋าเขาไม่ได้หรอก เขามีงานยุ่งต้องทำทั้งวัน งานในสวนแล้วยังงานในบ้าน เธอจะไปเกะกะขวางทางเขาไม่ได้หรอก แล้วอีกอย่าง มันอันตราย แม่ไม่อยากให้เธอเอาแต่วิ่งเล่นตากแดดตากลมอยู่ในสวนทั้งวัน ตกน้ำตกท่าตายไปคุณป๋าเขาก็ไ่ม่รู้หรอก เขาจะมาจับตาดูเธอตลอดเวลาได้ยังไง"
เด็กหญิงนึกในใจว่า "สระน้ำนั้นเองที่แม่เป็นห่วง" แล้วจึงพูดต่อว่า "จอมสัญญานะแม่ว่าจอมจะไม่เฉี่ยวเข้าไปใกล้สระน้ำ จอมจะเล่นอยู่บนบ้านกับที่สนามหน้าบ้านเท่านั้น แล้วก็เล่นกับสิงโตปุ้ยฝ้าย"
แม่ถอนหายใจอีกครั้ง มองดูใบหน้ากระตือรือล้นของลูกสาว
"เวลากลางวันที่แดดร้อนๆ น่ะ ขึ้นมาเล่นบนบ้าน" แม่ยอมแพ้ "อย่าไปวิงเล่นตากแดดเปรี้ยงๆ ไม่สบายไปจะยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่" แม่สั่ง "แม่จะบอกให้คุณป๋าเขารู้ว่าเธอจะไม่ไปอยู่กับคุณย่า แต่เธอต้องรับปากว่าอย่าไปซุกซนจนคุณป๋าเขาเสียงานเสียการไป ส่วนข้าวกลางวันน่ะ แม่จะทำใส่กล่องไว้ให้เธอกินบนบ้าน"
เด็กหญิงยิ้มกว่าง "ได้เลยแม่" แล้วรีบวิ่งตื๋อกระโดดโลดเต้นออกไปก่อนที่แม่จะเปลี่ยนใจ แต่แม่ไม่ยิ้มด้วย แม่ยังเป็นกังวล ทั้งเป็นห่วงที่จอมจะวิ่งซนอยู่คนเดียวและเป็นกังวลว่าจะแก้ตัวให้ลูกสาวกับแม่สามีอย่างไรจึงจะไม่น่าเกลียด
Comments
Post a Comment